คำคม..ข้อคิด

 

คำคม..ข้อคิด ๒๖
14 พ.ค. 2561

 

เรามาทบทวน ความทุกข์สุขรอบตัวเราที่มีผลกับเรามากที่สุด ในวันทำงานอย่างเราๆ ท่านๆ นี้หน่อยเป็นไร
 
เวลาเราไปทำงาน องค์ประกอบที่ทำให้เราอยากไปหรือไม่ มีสองอย่าง คือ นายกับเพื่อนร่วมงาน เพราะหลายคนไม่ได้มีโชคเพราะได้นายดี แต่มีโชคเพราะเพื่อนร่วมงานดี และบางคนได้นายแสนดี แต่เพื่อนร่วมงานทำให้เครียด จะหาที่ดีพร้อมทั้งสองอย่างนี่ยากเต็มที เพื่อนร่วมทุกข์อย่างเราในเรื่องนี้มีมากมาย จะทำอย่างไรดี ที่ทำงานก็ใกล้บ้าน สะดวกเราด้วยไม่รู้จะไปหางานที่ไหน 
 
ใครที่เจอนายชอบชักสีหน้า พูดจาแดกดัน เราลองพยายามทำตนเหมือนคนตาบอด คือ สักแต่ว่ามอง เหมือนหูหนวกสักแต่ว่าได้ยิน รับแต่ใจความสำคัญแล้วมาปฏิบัติให้ดีที่สุด ถ้าไม่มีสาระก็อย่าสนใจ เพราะกรรมอยู่ที่เขาเราอย่าไปรับ หาสิ่งดีๆ ที่เราชอบทำ ถ้ามีคำถาม แล้วนายชอบดุด่า ตอบแบบสะบัดทั้งไม่แก้ปัญหาให้ มักหาว่าเราทำงานไม่ได้เรื่อง เราพิจารณาถ้าจริงจงแก้ไข ถ้าไม่จริง กรรมก็ตกอยู่กับนาย ไม่ใช่เรา ยิ่งเราทนเท่าไหร่ ภูมิเราก็สูง นายร้ายเท่าไหร่ภูมิก็ยิ่งต่ำลง นายที่น่าสงสาร
 
กับเพื่อนร่วมงาน ถ้าพาลนักก็หลีก ถ้าเอาเปรียบก็ปล่อย ให้ได้ก็ให้ คนเอาเปรียบคือเปรต คนให้คือเทวดา
 
ข้อสอบมีทุกวันที่จะบอกตัวเราว่าคนรอบๆ ตัวเราอยู่ภูมิไหน สำคัญที่สุดคือ ถ้าตัวเราเป็นนาย เราเป็นนายประเภทไหน และถ้าเราเป็นเพื่อน เราเป็นเพื่อนประเภทไหน ไม่ใช่ว่า เราอยู่ในภูมิเปรต ภูมิมาร โดยไม่รู้ตัว อันนี้น่ากลัวค่ะ
 
 
วันหนึ่งๆ เราทำอะไรให้ใครบ้าง คิดทบทวนแล้ว น่าตกใจเหมือนกัน เพราะเราทำให้ตัวเองส่วนใหญ่ ไปทำงานก็เพื่อตัวเรา คงมีบ้างที่จะบอกว่าเพื่อองค์กรด้วยความจงรักภักดี แต่ก็คงไม่ใช่ น่าจะพึ่งพาให้องค์กรเลี้ยงมากกว่า ในยี่สิบสี่ชั่วโมงเป็นไปเพื่อตัวเอง นับแล้วมีเพื่อคนอื่น ก็มีแต่ลูก สามี ภรรยา ของตนเองหรือคนอื่น เพียงเศษเสี้ยวของวัน เพื่อส่วนรวม หรือคนอื่นๆ ยิ่งมีน้อย ยิ่งกว่าน้อย
 
เราชาวพุทธเอ่ยอ้างจะเดินตามรอย คงได้แต่เอ่ยอ้าง เพราะกิจของพระองค์เป็นไปเพื่อสัตว์โลกทั้งสิ้น นับแต่เช้าตรู่ จนถึงเวลาบรรทม
จึงสามารถวัดผลจากตรงนี้ได้ว่า ผลของการปฏิบัติของเราแทบไม่มีเลย เพราะตัวตนของเราในแต่ละวันมันพอกพูน
 
ลองเริ่มคิดทำเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังผลให้มากขึ้นตามลำดับของวันเวลาที่ผ่านไป ให้ชีวิตไม่สูญเปล่า แล้วปฏิบัติ เราก็จะเห็นผลของความก้าวหน้าด้วยตัวของเราเอง
 
มีแต่ตัวเราคือเห็นแก่ตัว เห็นคนอื่นก่อนตัวเรา คือการละตัวตน ไม่ได้อยู่ที่การแต่งกายภายนอก แต่ออกจากภายในค่ะ
 
 
ปีสองปีนี้ หลายคนจะเข้าใจคำว่ารอคอย และจำเป็นต้องใจเย็น เพราะถึงร้อนรนไปก็ไม่มีประโยชน์ ด้วยเหตุการณ์บีบให้เป็นเช่นนั้น หากเราเป็นผู้รู้จักปรับเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกไปตามสถานะการณ์โดยไม่ร้อนใจ แต่เข้าใจทั้งคล้อยตาม ความทุกข์ ความสงสัย ก็ไม่เกิด
 
โหราศาสตร์อาจมีส่วนช่วยให้เราทำใจมากขึ้น ด้วยดาวเสาร์และราหูมีผลกับชะตาเมือง จึงมีแต่คำว่า ล่าช้า รอคอย ซ้ำซ้อน หวาดระแวง เปลี่ยนแปลง
 
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะเผชิญเรื่องราวใหญ่น้อย ต้องใจเย็นรอคอย รอจังหวะ และมีคำว่า คล้อยตาม
 
เมื่อเราเป็นต้นอ้อ ไม่ต้านกระแสใดๆ คือการปรับที่จิตให้ละตัวตน เมื่อเกิดเหตุไม่ตีโพยตีพาย แต่พิจารณาถึงเหตุอย่างเป็นกลาง โดยไม่เอาความคิดตนเป็นที่ตั้ง เราจะสามารถแก้ปัญหาให้ตัวเอง ทั้งมีจังหวะที่ถูกกาลอย่างน่าอัศจรรย์
 
ไม่ยึดติดคำว่า "เคยเป็น เคยทำ" ก็จะเข้าใจคำว่า อดทน และรอคอย ผู้เข้าถึงคำว่าอดทน รอคอย เพิ่มความเพียรเมื่อโอกาสมาถึง จะประสงค์
สิ่งใดก็จะสำเร็จทุกประการค่ะ
 
 
ถึงเวลาจะหนาว ไม่หนาว ถึงเวลาข้าวนาต้องการน้ำ กลับตกในเมือง ในมหาสมุทร ร้อนแล้งอบอ้าวดั่งไฟ ฝนฟ้าพายุฝนรุนแรง อารมณ์คนผันผวนปั่นป่วน คนโบราณว่าไว้ คือเหตุอาเภท ด้วยเหตุชนทั้งหลายไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม ไม่เคารพบุคคลที่ควรเคารพ ไม่ให้เกียรติครูบาอาจารย์ ล้างคำคนสอน จ้วงจาบผู้มีศีล วาจาไม่เป็นมงคล
 
ให้ร้ายบัณฑิต เด็กไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ คนโง่อวดดี คนมีดีหนีหายไป ผีป่าเข้าเมือง ผีเมืองจะออกไปอยู่ป่า ความวุ่นวาย เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ข้าวจะยากหมากจะแพง เด็กเล็ก หญิงชราจะเป็นอันตราย
 
ไม่ต้องไปดูใครที่ไหน ให้ดูตัวเราว่า เราเป็นหนึ่งใน"ชนทั้งหลาย"ที่กระทำในสิ่งที่ไม่เป็นมงคลหรือไม่ แก้ไขที่ตัวเราก่อน ถ้าจะดูใครคือใส่ใจคนรอบข้างให้เป็นสุข ไม่ใช่สนใจแต่ตน แต่จับผิดคนอื่น เปลี่ยนเป็นจับผิดตน สนใจให้คนอื่น เป็นผู้ว่าง่าย ไม่โกรธคนสอน ไม่เถียงผู้ใหญ่ เป็นสุภาพชน ทำแต่สิ่งที่ควร ไม่กวนคนอื่นให้เดือดร้อนรำคาญใจ
 
เด็กๆ อย่าเถียงผู้ใหญ่ อย่าโกรธคนสอน อ่อนข้อให้พ่อแม่ ศิษย์อย่าสู้ครู ลูกน้องเคารพนายไม่อวดดี
 
พร้อมใจกันอย่างนี้ บ้านเมืองจะร่มเย็น ไม่ต้องถามใครว่าเมื่อไรบ้านเมืองเราจะดีค่ะ
 
 
"โดด"กับ"วิ่งรอก" เรารู้จักทุกคนนับแต่ยังเรียนหนังสือ เมื่อยังน้อย โดด เรียนพองาม เติบใหญ่ วิ่งรอก ไปงานพอไม่เสีย แต่เรารู้ไหมว่าในบางที่ บางแห่ง มันเสียน้ำใจและความรู้สึก ที่แม้เงินมากมายก็ซื้อคืนไม่ได้
 
งานใดที่คนมากมาย เราหายไปหนึ่งคนไม่มีความหมาย แต่ถ้างานนั้นเฉพาะเจาะจง เชิญไม่มาก ย่อมมีความหมายกับเจ้าของงาน พอดีพอร้ายเขาไม่เชิญเราอีกเลย เพราะมารยาทกับน้ำใจ บางครั้งอธิบายยาก
 
โดดเรียนอบรมสัมนา วันใดวันหนึ่งที่เราเป็นผู้ใหญ่ ที่เห็นคนนั่งหลับขณะเราดำเนินรายการ หรือลุกขึ้นหายตัวไปซึ่งหน้า หรือโดดไปเลย คนที่เหลือที่ตั้งใจจะไม่ได้ประโยชน์เต็มที่ เพราะผู้สอนผู้บรรยายเสียน้ำใจ
 
อย่าคิดถึงแต่ตนเอง อย่าไปคิดเอาเองว่า เอาพอมาเห็นหน้า เราอุตส่าห์มาแล้วก็เพียงพอ
 
เลือกงาน เลือกอบรม ที่เราอยากไปจริงๆ คือใจที่ให้เต็มร้อย แต่กลับก่อน คือให้เขาเพียงครึ่งเดียว และเราไม่ต้องแปลกใจ ทำไมเราจึงไม่เป็นที่รักของใครๆ อย่างเต็มร้อย เรื่องนี้เล็กน้อยแต่มีผลใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม
 
เรื่องไม่ดีอย่าคิดว่าเล็กน้อยจึงกระทำ เรื่องดีอย่าคิดว่าเล็กน้อยแล้วไม่ทำ ทำไมเราไม่ได้อะไรดีๆ น่าคิดนะคะ
 
 
นั่งอยู่ว่างๆ มองเหตุการณ์รอบตัว ให้นึกถึงเรื่องราวที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพุทธพยากรณ์ถึงความฝันสิบหกประการของพระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งจากข้อที่สิบถึงสิบหกนั้นตรงกับเหตุการณ์ปัจจุบันและเป็นช่วงเวลากึ่งพุทธกาลพอดี ไม่ว่าจะเป็นภูมิอากาศหรือเภทภัยต่างๆนานา
 
โลกแตกแยกเพราะแก่งแย่ง แย่งชิงผลประโยชน์ ซึ่งเราสามารถแก้ด้วยทานบารมี ซึ่งจะนำความชุ่มฉ่ำมาสู่โลก เพราะทาน จะทำให้คนไม่เห็นแก่ตัว ไม่เข่นฆ่ากันเพียงเพราะดินแดน หรือแผ่นดิน หันมาใส่ใจคิดสร้างสรรแผ่นดินตนให้อุดมด้วยพืชผล มีกินกันตลอดไป ข้าวในนาจะไม่ยาก หมากจะไม่แพง ความแร้นแค้นจะไม่ปรากฏ
 
ผู้คนขาดความละอาย แย่งชิงทรัพย์สินเงินทองจนฆ่ากัน อย่างนี้ควรแก้ด้วยความเมตตา อภัยและแบ่งปัน ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา แบ่งภาคแบ่งสี อันความเมตตานั้น ทุกศาสดา ทุกศาสนาสอนไว้เช่นเดียวกัน
 
ผู้คนต่างจริงใจไม่ใส่หน้ากากเข้าหากัน ไม่โป้ปด ไม่ใส่ร้าย ป้ายสี ไม่ผิดกรรมบถสิบ
 
การแบ่งแยกวรรณะ ชนชั้น ทั้งลูกน้องกับนาย รัฐกับประชาชน คนรวยกับคนจน ไพร่ผู้ดีไม่มี ก็ด้วยสังคหวัตถุ ๔ พูดจากันดีๆ มีแต่ให้ ช่วยเหลือกันอย่างไม่ถือเขาถือเราถือพวกพ้อง ทำอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ต้องรณรงค์ไปทำความสะอาดวัด ขัดเกลาตัวเอง ทั้งเราและสังคมรอบตัวเราก็จะมีความสุข พ้นจากภัยทั้งหลายทั้งปวงค่ะ