บทความพิเศษ

 

พิชัยสงครามกับสามก๊ก ตอนที่ ๕๐/๑ - เตียวสง
16 ส.ค. 2561

 

ในช่วงก่อนชุลมุนในเสฉวน ย้อนมาดูเตียวสงที่เล่าเจี้ยงส่งไปเป็นทูต ไปขอเจรจาขอความช่วยเหลือจากโจโฉ แล้วเตียวสงพูดจาไม่ถูกหู โจโฉจึงให้ทหารเอาตะบองไล่ตีออกมา ย้อนดูความเป็นฑูตของเตียวสง มีลักษณะอย่างไร จึงถูกไล่ตีออกมา 
 
จะด้วยวาสนาของโจโฉไม่ถึงเสฉวน หรือว่าจะต้องมีเหตุอะไรสักอย่าง ตอนนั้นโจโฉกําลังเป็นใหญ่ ทําสงครามปราบปรามฝ่ายตรงข้ามไปได้หลายกลุ่ม ทั้ง อ้วนเสี้ยว อ้วนสุด สองพี่น้อง ศึกภายในที่คิดขบถก็กําจัดได้หมด ไม่ว่าจะเป็นตังสิน เกียดเป๋ง ม้าเท้ง จนกระทั่งม้าเฉียว ลูกชายม้าเท้งที่มีฝีมือเลื่องลือเทียบเท่าลิโป้ ก็ยังถูกตีแตกพ่ายยับเยินไป 
 
คราวนี้มีเมืองฮันต๋งที่เตียวล่อเป็นเจ้าเมือง และเมืองเสฉวนที่เล่าเจี้ยงเป็นเจ้าเมือง แต่ทั้งสองเมืองนี้เป็นคู่อริมาแต่เดิม เตียวล่อเองก็อยากได้เสฉวน เพราะว่าที่ปรึกษาแนะนําว่า แม้ว่าฮันต๋งจะมีผู้คนมากมายนับสิบหมื่น ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ก็จริง แต่ก็ไม่เท่าเมืองซงหยง ฮูโต๋ ของโจโฉ ส่วนเมืองสฉวนนั้นมีเมืองขึ้นอยู่ถึง ๑๔ หัวเมือง ถ้าได้ครอบครองเสฉวนแล้ว จะสามารถตั้งตัวเป็นใหญ่ได้ง่าย 
 
เล่าเจี้ยงเองก็ได้ข่าวว่า เตียวล่อเตรียมยกทัพมาตีเสฉวนก็ตกใจกลัว ก็รีบเรียกที่ ปรึกษามาหาทางออก ที่ปรึกษาคนหนึ่งมีชื่อว่า เตียวสง คนนี้ในประวัติศาสตร์ระบุไว้ว่า รูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ตัวต่ําเตี้ย ศีรษะรีเหมือนดั่งผลมะตูม รียาวแล้วก็ป่องกลาง หน้าผากลิ่ม ตรงคางลีบลงไป ตรงแก้มป่อง จมูกเชิด ฟันเสียม ต้องจําโหงวเฮ้งตรงนี้ให้ดีๆ คนเตี้ยมากเท่าไหร่ความทะเยอทะยานก็ยิ่งสูง ศีรษะรีดั่งผลมะตูม ธาตุไม้อ่อนไหว เป็นคนที่ถ้าเป็นผลมะตูมป่องกลางถือดีในตัว เป็นคนยึดมั่นถือมั่น จมูกเชิดไม่ยอมแพ้คน เป็นคนที่กินสินบาทค่าสินบน ฟันเสียม เจ้าเล่ห์เพทุบาย อันนี้คือลักษณะโหงวเฮ้ง 
 
เตียวสงขออาสาหาทางป้องกันเสฉวน โดยการไปเจรจาอ่อนน้อมต่อโจโฉ แล้วก็จะขอให้โจโฉยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋ง ก่อนที่เตียวล่อจะยกมาตีเสฉวน ซึ่งเล่าเจี้ยงก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือพร้อมเครื่องบรรณาการ ให้เตียวสงนําไปดําเนินการตามแผน เตียวสงแอบเขียนแผนที่เมืองเสฉวนอย่างละเอียดติดตัวไปด้วย แสดงว่าเตียวสงมีความทะเยอทะยาน คิดเป็นใหญ่กว่านี้ เป็นแค่ที่ปรึกษายังไม่พอ 
 
เมื่อเตียวสงไปถึงฮูโต๋แล้ว ต้องรอคอยถึง ๓ วัน ถึงได้เข้าเยี่ยมคํานับโจโฉตามหน้าที่ของทูต เพราะโจโฉไม่สนใจหรือให้ความสําคัญเลย เมื่อรับหนังสือของเล่าเจี้ยงแล้วก็ถามว่า หลายปีแล้วที่เมืองเสฉวนไม่ได้ส่งเครื่องบรรณาการมาคํานับตามประเพณี  เพราะอะไร เตียวสงก็แก้แทนนายว่า เสฉวนอยู่ไกลมาก หนทางก็กันดาร ไปมาลําบาก บ้านเมืองทั่วไปก็ไม่สงบราบคาบ เกรงว่าจะมีโจรผู้ร้ายแย่งชิงเครื่องบรรณาการ มีการทําศึกกันทั้งฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ จะส่งเครื่องบรรณาการก็จะโดนแย่งชิงได้ 
 
โจโฉตวาดว่า กูเที่ยวปราบหัวเมืองราบคาบจนผาสุขแล้ว โจรที่ไหนจะมี เตียวสงสวนทันทีว่า ทิศใต้ซุนกวน เป็นศัตรูท่านก็ยังอยู่ ตะวันตกก็เล่าปี่ ทิศเหนือก็เตียวล่อ เมื่อข้าศึกของท่านยังอยู่รอบตัว ไฉนจึงบอกว่าปราบปรามหัวเมืองราบคาบได้ โจโฉโดนทูตคนนี้แย้งแทงใจดําก็โกรธจัด ไม่เจรจาด้วย ลุกขึ้นหนีไปเฉยๆ พวกที่ปรึกษาก็เวทนาบอกว่า ท่านพูดจาทิ่มแทง พูดตรงเกินไป ดีแต่ว่าท่านเป็นฑูตนําเครื่องบรรณาการมา จึงไม่ต้องโทษ จงเร่งออกไปเสียไวๆ เถิด อย่าได้ชักช้าเลย 
 
อะไรทําให้เตียวสงพูดตรงออกไปอย่างนั้น แก้มที่เหมือนผลมะตูม หน้าผากแคบ ปัญญาน้อยไปนิดหนึ่ง แล้วก็ปลายคางแหลม หน้าผากสูงถึงได้เป็นที่ปรึกษาแต่แคบไปหน่อย ขาดสติปัญญา อันนี้คือเป็นผู้พูดตรง คือลักษณะของแก้ม แล้วก็คางรี คางที่เรียวแหลมลงไป คือคนที่พูดตรงเกินไปโดยไม่มีวาทะศิลป์ ขาดศิลปะในการพูด 
 
เตียวสงบอกว่า ตนเป็นคนเสฉวน จะพูดจาสิ่งใดลงไปก็ตาม ถือว่าตนเองนั้นซื่อ ไม่ได้เอาเท็จมาเจรจาสอพลอเหมือนคนทั้งปวง คนที่ฟันเสี้ยมคือฟันแหลมๆ เหมือนฟันหนู จะชอบพูดจาแดกดัน ที่ปรึกษาคนหนึ่งของโจโฉชื่อ เอียวสิ้ว ก็โมโหตวาดว่า ถ้าคนเมืองเสฉวนล้วนแต่ซื่อแล้ว พวกเราชาวเมืองหลวง ท่านเห็นว่าใครพูดจาประจบประแจงล่ะ 
 
เตียวสงเห็นเอียวสิ้วที่มีลักษณะเป็นคนหลักแหลม เจ้าปัญญา ก็เลยคุยด้วยความ สุภาพ เอียวสิ้วก็ติดใจได้รับคํายกยอปอปั้น เลยพาไปที่บ้าน จัดที่นั่งให้ตามสมควรแล้วก็นั่งคุยกันต่อ ต่างก็ใช้จิตวิทยาหาข่าวด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย 
 
เตียวสงก็คุยว่า เสฉวนนั้นทิศใต้มีแม่น้ํากิ๋มกั๋งกั้นอยู่ ทิศเหนือก็มีด่านเกียมก๊ก ตัวเมืองนั้นมีปริมลฑล ๓,๐๐๐ เส้น บ้านเรือนห่างกันพอได้ยินเสียงไก่ขัน (คือแออัดพอสมควร คนอยู่เยอะ) ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ เป็นที่สุขสบายกว่าหัวเมืองทั้งปวง ผู้คนมีสติปัญญา ทหารดีมีฝีมือก็มีมาก ขุนนางมีสติปัญญาพิสดารกว้างขวาง มีความซื่อสัตย์มั่นคง แล้วมีปัญญาพอประมาณ อย่างข้าพเจ้าซึ่งเป็นที่ปรึกษาชั้นผู้น้อย ถึงเอาเกวียนมาบรรทุกก็ยังไม่สิ้น แล้วย้อนถามเอียวสิ้วว่า ตัวท่านดำรงตำแหน่งอันใด
 
เอียวสิ้วตอบว่าเป็นขุนคลังของมหาอุปราช เตียวสงก็แหย่ว่า ท่านมีสติปัญญา ไฉนมาเป็นขุนนางนอกตําแหน่งของมหาอุปราช ไม่ทําราชการในพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะได้ช่วยทะนุบํารุงแผ่นดินให้ดี เอียวสิ้วชักอายก็บอกว่า แม้จะเป็นขุนนางนอกตําแหน่ง แต่ก็ยังดี มีคนนับถือยําเกรง (คําว่านอกตําแหน่ง คือไม่ได้คุมกําลัง) เป็นที่สนิทสนมไว้วางใจของมหาอุปราช แล้วได้ดูแลทรัพย์สมบัติทั้งปวง มหาอุปราชมีเมตตาสั่งสอนกิจการทั้งปวง ถือว่าโจโฉเป็นผู้ที่มีพระคุณก็เลยภักดีอยู่ด้วย 
 
เตียวสงก็แกล้งหัวเราะ แล้วยุต่อว่า มหาอุปราช ถึงแม้จะรู้หนังสือ รู้วิชาการ ศิลป ศาสตร์ทางทหาร แต่ก็รู้พอประมาณ จะเอาวิชาอะไรมาสอนท่านได้ทุกวัน คงได้วาสนาหนหลังมาช่วยค้ําจุนถึงตั้งตัวเป็นใหญ่ได้ เอียวสิ้วก็บอกว่า ท่านอยู่เมืองไกล ไม่รู้ดอกว่า มหาอุปราชมีวิชาและกลอุบายกว้างขวางสารพัด รู้ถึงขนาดแต่งหนังสือว่าด้วยการสงคราม ให้ตั้งค่ายและจัดแจงพลทัพบกทัพเรือ เป็นเนื้อความถึง ๑๓ บท ว่าแล้วก็หยิบหนังสือมาให้เตียวสง เตียวสงอ่านแล้วก็ข่มว่า หนังสือนี้เป็นการลอกตำราโบราณที่ผู้มีปัญญาแต่งไว้ ไม่ใช่มหาอุปราชแต่งเอง แถมปิดหนังสือแล้วท่องออกมาได้หมดทั้ง ๑๓ บท เอียวสิ้วเห็นเตียวสงอ่านเที่ยวเดียวสามารถจําได้ แสดงว่าเป็นตําราโบราณมาจริงๆ ก็สรรเสริญว่าเตียวสงมีสติปัญญาหลักแหลม แล้วบอกว่าจะพาเข้าไปหาโจโฉ แล้วไปเข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ด้วย เตียวสงก็รับคํา