ความรู้เกี่ยวกับโหราศาสตร์

 

โหราศาสตร์แนะแนว ตอนที่ ๒๔ - ภพปุตตะ (ต่อ)
14 พ.ค. 2560

 

ดาวพระเคราะห์เจ้าเรือนปุตตะ ยังแสดงผลถึงพ่อของเจ้าชาตาด้วย ดังนี้

 

ถ้าดาวเจ้าเรือนปุตตะ เป็นดาวศุภเคราะห์ แต่ได้ตำแหน่งเสื่อม คือเป็นนิจ หรือร่วมราศีกับดาวบาปเคราะห์ หรืออยู่ในเรือนของดาวคู่ศัตรู หรือในเรือนของดาวบาปเคราะห์ บิดาของเจ้าชาตา ไม่ค่อยมีความสุข

 

เคล็ดที่จะดูเกี่ยวกับบิดาของเจ้าชาตา ยังมีต่อดังนี้

 

ถ้าลัคนาของเรา ตรงกับภพที่ ๑๐ ในดวงชาตาของบิดา จะเป็นผู้ที่มีความคิดเห็นและมีลักษณะเหมือนบิดา

 

ถ้าลัคนาของเรา ตรงกับภพที่ ๖ หรือภพที่ ๘ ของบิดาแสดงว่าความคิดไปคนละทาง มักจะขัดแย้งกัน หรือเห็นไปในทางตรงกันข้าม

 

ถ้าลัคนาของเรา ตรงกับภพที่ ๓ ของบิดา มักเชื่อฟังและให้ความเคารพกันดี

 

มีเคล็ดสำคัญจากตำราโบราณกล่าวว่า หากผู้ใดมีดาวเกษตรเจ้าเรือนภพที่ ๔ และภพที่ ๙ ไปอยู่ในภพที่ ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ จากลัคนา ถือเป็นการให้โทษแก่เจ้าชาตาอย่างมาก ในเวลาที่พ่อจะสิ้นใจ เจ้าชาตาไปดูหน้าพ่อแม่ในขณะนั้น

 

สำหรับด้านสติปัญญา หากเจ้าเรือนภพปุตตะ มีตำแหน่งที่เข้มแข็ง หรือได้รับกระแสสัมพันธ์ที่ดีจากดาว ๕ ท่านผู้นั้นสติปัญญาดี รู้รอบหลักแหลม ฉลาดลึกซึ้ง สามารถหยั่งความคิดผู้อื่นได้ ยิ่งดาว ๕ ในชาตา เข้มแข็งด้วยตำแหน่งอุจจ์ เกษตร วรโคตรนวางค์ หรือเกาะนวางค์ศุภเคราะห์ หรือเป็น ๑๑แก่ดาวพุธ จะเป็นผู้รอบรู้ในเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

 

การพิจารณาดาวภพปุตตะ มีความพิสดารอีก และจะใช้หลักการทำนายคล้ายๆ กับที่บรรยายมาข้างต้น เช่น ในการพิจารณางานอดิเรก ความปิติ ความเบิกบานใจ ความสุขในชีวิต ก็มาจากภพปุตตะ ก็ต้องพิจารณาโดยใช้แสงจากดาวบาปเคราะห์และดาวศุภเคราะห์เป็นเกณฑ์

 

นอกจากนี้ โบราณาจารย์ท่านถือว่า ดาวพระเคราะห์ที่สถิตอยู่ในภพที่ ๗ หรือที่มาจากภพที่ ๕ มักเป็นดาวที่ไม่ทำร้ายเจ้าชาตา เป็นดาวที่อุ้มเจ้าชาตาให้พ้นภัย ซึ่งก็ต้องอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของโหราศาสตร์ไทย ว่าด้วยดาวบาปเคราะห์และศุภเคราะห์

 

ยกตัวอย่างดาวลอยที่อยู่ในภพปุตตะ แม้จะถือว่ามาสถิตอยู่ในภพร่วมธาตุกับลัคนา ให้คุณกับลัคนา แต่ถ้าเป็นดาวบาปเคราะห์ ก็ยังแสดงผลทางอุปสรรคในการดำเนินชีวิตของเจ้าชาตาด้วย และบางครั้ง ยังส่งผลให้เจ้าชาตามีบุคลิกที่แข็ง ไม่อ่อนโยนอีกด้วย

 

เนื่องจากเรือนปุตตะเป็นเรือนสำคัญ โดยเหตุที่ตั้งอยู่ในมุมตรีโกณพร้อมกับภพที่ ๙ อันเป็นภพบิดามารดา  ดังนั้น เมื่อดาวบาปเคราะห์เข้าตรึงจุดไหนในดวงชาตา กระแสดาวมักจะแล่นถึงกัน และบางครั้ง เมื่อเราเกิดเคราะห์ ดาวพระเคราะห์มุมตรีโกณ คือบิดา มารดา บุตร บริวาร หรือบุคคลที่มีลักษณะอย่างเดียวกับดาวพระเคราะห์ มุมตรีโกณนี้จะช่วยเหลืออุปถัมภ์ค้ำจุน หรือบางครั้ง เราเกิดเคราะห์หามยามร้าย ดาวจรโคจรเข้ามาสัมพันธ์ในทางร้าย เคราะห์ที่เกิดขึ้น อาจไปเกิดกับบิดามารดา หรือบุตร เป็นการบอกเหตุให้เราทราบได้ และตัวเจ้าชาตา บุตร บริวาร บิดามารดา ก็จะเข้าช่วยกันให้ชาตานั้นไม่ร้ายแรง เป็นการผ่อนหนักเป็นเบา

 

ในการพิจารณาอย่างนี้ หากใครไม่มีดาวพระเคราะห์ในมุมตรีโกณ ก็ให้ถือเอาดาวพระเคราะห์เจ้าเรือนที่อยู่ในมุมที่ให้แสงแก่ลัคนา ก็ยังถือว่าเป็นดาวช่วยเหลืออุปถัมภ์ค้ำจุนเช่นกัน

 

ด้านประสานบุคคล เราก็ต้องเป็นผู้มีกตัญญูกับบิดามารดา ดูแลบำรุงบุตร เพราะถึงแม้เราจะไม่มีดาวพระเคราะห์อยู่ในมุมตรีโกณ แต่เราปฏิบัติทำหน้าที่ต่อบิดามารดา ดูแลบุตรธิดา หรือบางคนมีบุตรบุญธรรม บางคนเลี้ยงสัตว์ เมตตาเอ็นดูดุจบุตรในอุทร ก็มีผลให้ชีวิตได้รับการอุปถัมภ์ค้ำจุน มีความเจริญ มีเคราะห์อันใด ก็ดูเหมือนผ่อนหนักเป็นเบา ไม่พบอุปสรรคร้ายแรงเท่าที่ควร

 

ภพปุตตะ ก็มีปกรณ์การทำนายที่ลึกซึ้ง ที่ควรจดจำเช่นนี้แล