ฮวงจุ้ยพื้นฐาน

 

ความสังเกตกับฮวงจุ้ย ตอนที่ ๒
29 ส.ค. 2559

 

ในทางฮวงจุ้ย เราต้องใช้การสังเกตทั้งในสิ่งที่ตามองเห็น และตามองไม่เห็น ใช้ความรู้สึกที่ไม่ใช่ไสยศาสตร์ เป็นความรู้สึกที่มีเหตุและผลมารองรับเสมอ เช่น หมู่บ้านจัดสรรบางโครงการ ผ่านไป 2-3 ปียังไม่แล้วเสร็จ ก็ต้องหาเหตุผลแล้วว่า เป็นเพราะอะไร เป็นการฝึกฝนเพิ่มปัญญาให้เรา ด้วยการฝึกถามตอบกับตนเองให้อยู่ในเนื้อในนิสัย ไม่ใช่ดูทุกอย่างผ่านๆไป เวลาจะมาดูฮวงจุ้ยค่อยมาสังเกต แบบนี้เราจะไม่ได้อะไรเลย เพราะการเป็นคนช่างสังเกตตลอดเวลาจะสั่งสมข้อมูลให้เรา ทุกคำถามมีคำตอบให้กับทุกสถานที่ที่เราเห็น เราผ่าน ด้วยหลักวิชาที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ไว้ เหมือนดังที่ขงจื๊อกล่าวว่า "ทุกคนที่เดินผ่านเราคืออาจารย์ ดังนั้น ทุกพื้นที่ที่เราผ่านมาก็เป็นอาจารย์ของเราเช่นกัน"
 
แม้แต่สภาพโต๊ะทำงานที่รก ก็ต้องถามว่า เจ้าของโต๊ะประสบปัญหาอะไรบ้าง เป็นการรับรู้ได้ด้วยตนเอง แล้วมาพิเคราะห์ว่า เหตุที่เกิดขึ้นมาเพราะโต๊ะรกหรือเปล่า หรือเพราะว่าเราไปเปลี่ยนแปลงอะไรหรือเปล่า แล้วก็ตามดูสักพักว่าเป็นอย่างที่เราคิดไว้หรือไม่ เป็นการวิเคราะห์เหตุที่มาก่อน
 
หรือในกรณีที่เราจัดห้องใหม่ เช่น จัดห้องพระ แล้วมีเหตุเกิดขึ้นต่อเนื่องกันมาหลายๆ ครั้ง ผ่านการตามเฝ้าดู สังเกตด้วยตนเองมาเรียบร้อยแล้ว หากเกิดเหตุบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้น เราก็ต้องสังเกตว่า มีอะไรเป็นตัวเร่งให้เกิดหรือเปล่า เป็นต้นว่า เปลี่ยนประตูใหม่ เปลี่ยนที่นั่งผู้บริหารใหม่หรือเปล่า
 

สมมติว่า ในระหว่างการเดินทาง เราสังเกตเห็นรั้วกั้นริมถนนสีแดงหน้าร้านค้า ก็ต้องวิเคราะห์ดูว่า การค้าแถบนั้นตกหรือไม่ หากว่าการค้าไม่ค่อยดีในขณะที่เมื่อก่อนตอนไม่มีรั้วนี้ยังค้าขายดีอยู่ เราก็จะไม่นำรั้วลักษณะนี้ไปตั้งไว้หน้าบ้านหรือหน้าร้านของเราเป็นอันขาด เพราะมีความหมายของคำว่า "ไม่"

 

เส้นประหรือลูกศรบนถนน ก็มีความหมายในทางฮวงจุ้ย ไม่ใช่ว่ามีไม่ได้ หากแต่มีแล้วบอกอะไร

 

สิ่งใดก็ตามที่ดึงดูดสายตา ทำให้มีจุดเด่น ถือว่าสิ่งนั้นมีพลัง เราสามารถนำไปปรับประยุกต์ ในกรณีที่บ้านของเราเงียบเกินไป จะด้วยเหตุที่อยู่คนเดียว ห้องมีเยอะแต่ผู้อยู่อาศัยน้อย ด้วยการทำให้ห้องเหล่านั้นเด่นขึ้นมา มีชีวิตชีวาขึ้นมา ด้วยการติดนาฬิกาที่มีเสียงเพลง เพราะเสียงเพลงก่อให้เกิดคลื่น ซึ่งก็คือ ความเคลื่อนไหว ความมีชีวิตนั่นเอง

 

แม้แต่การทำความสะอาดที่ทำให้เราต้องยกข้าวของขึ้นมา ก็ทำให้เกิดคลื่นของความมีชีวิตเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ อาจารย์จึงมักถามว่า ทำความสะอาดห้องพระหรือยัง ด้วยเหตุที่ว่า ห้องที่มีพลังสูงสุดในแต่ละบ้านก็คือ ห้องพระ ในขณะที่ห้องที่มีพลังอ่อนที่สุด คือ พลังนิ่งที่สุด ก็คือ ห้องนอน นั่นเอง

 
ถ้าในห้องนอน มีเครื่องออกกำลังกาย โต๊ะทำงาน คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง แทบจะมีทุกอย่างในห้องนั้นด้วย ก็จะส่งผลให้สมองฟุ้งซ่าน นอนไม่หลับ ให้ถามตัวเองว่า อะไรสำคัญที่สุดในห้องนอน เป็นโต๊ะทำงาน หรือโทรทัศน์ หรือ เตียงนอน สิ่งที่เราให้ความสำคัญในห้องนอนนั้น จะบอกพฤติกรรมของตัวเรา
 
ส่วนห้องน้ำนั้นเป็นจุดจ่ายออก ประตูบ้านเป็นจุดรับทรัพย์ ถ้าจะบอกว่าห้องน้ำไม่มีพลัง ไม่ได้ เพราะเราใช้อยู่ทุกวัน จึงมีความเคลื่อนไหวแน่นอน
 
ดังนั้น ใครที่ชอบอยู่ในห้องน้ำที่มีขนาดใหญ่นานๆ อย่างมีความสุข ก็จะมีเรื่องให้ต้องจ่าย บางคนอาจจะหมายถึง การเดินทางบ่อยมาก นั่นคือ จ่ายตัวเองออกจากบ้านไป วิธีแก้ก็คือ ตรงประตูหน้าบ้าน ซึ่งถือเป็นประตูรับทรัพย์ ทำให้มีพลังด้วยการทำให้พื้นที่แถบใกล้กับประตูหน้าบ้านนั้นโดดเด่น ด้วยการจัดวางต้นไม้ กระถาง สิ่งของประดับตกแต่ง แล้วให้ไปใช้งานแถบนั้นให้มากที่สุด เท่ากับว่า จุดรับและจุดจ่ายมีพลังเท่ากัน เกิดความสมดุลแล้ว
 
ห้องน้ำในบางบ้านนอกจากจะมีขนาดใหญ่โตแล้วยังยกเป็นแท่นสูงขึ้นไป และถ้าห้องน้ำยังสูงกว่าเตียง นั่นหมายถึง ดอกเบี้ย
 
ในเรื่องจุดเด่น การไปดูบ้านหรือที่ดินนั้น เราต้องสังเกตว่า ก่อนเดินทางไปถึง มีจุดเด่นอะไร หรือถึงที่ดินแล้วมีอะไรเด่นกว่า เช่น ที่ดินบางแปลง ก่อนจะถึง มีตึกใหญ่มากจนต้องหันไปมอง ลืมมองที่ดิน ที่ดินผืนนี้จะขายยาก
 
หรือที่ดินบางแปลงต้องผ่านสุสานเข้าไป ทำให้ขายได้ยาก เราไม่สามารถย้ายสุสานออกไปได้ เราก็ต้องทำที่ดินแปลงนี้ให้โดดเด่น ด้วยป้าย ด้วยความร่มรื่นร่มเย็นในพื้นที่ ด้วยต้นไม้ ด้วยน้ำ จะมีความหมายว่า ผ่านขวากหนามเข้าไปแล้ว พบกับความสดใส โอ่อ่า ร่มรื่น ร่มเย็น ในทางกลับกัน หากต้องผ่านที่ตายแล้วอย่างสุสานเข้าไปแล้ว ยังเจอกับทางเข้าแคบๆ เล็กๆ คนย่อมไม่อยากซื้อ ที่ดินผืนนั้นก็ต้องใช้ทำสวน ปลูกพืช ไม่เหมาะจะเป็นที่อยู่อาศัย

 

นอกจากนี้ เราต้องทำความเข้าใจว่า "อะไรที่มีมากเกินจนก่อให้เกิดความรกตานั้น ถือว่า มากเกินไป ไม่มีจุดเด่น" ลองนึกถึงระบบสุริยะ ที่แบ่งแยกเรียงลำดับความสำคัญ ด้วยขนาด ด้วยพลัง

 

ดังนั้น เวลาจะดูอะไรให้เราดูแบบนั้นเหมือนกัน คือดูว่า ที่นั้น มีอะไรเป็นจุดดึงดูด และจุดนั้นมีพลังหรือเปล่า เมื่อมาดูที่บ้านเรา หากเปรียบกับระบบสุริยะจักรวาล ก็ต้องดูว่าในบ้านใครเป็นดวงอาทิตย์ เป็นจุดดึงดูดมีพลัง แล้วมีดวงดาวที่รองลงมา

 

ที่บ้าน สามีเป็นดวงอาทิตย์ ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับที่นั่ง ที่นอน ความสำคัญถัดมาก็สถานที่ทำงาน  ส่วนภรรยาเป็นดวงจันทร์ในบ้าน  เราต้องรู้จักเรียงลำดับความสำคัญ

 

ห้องพระกับบ้านต้องสมดุลกัน ไม่ใช่บ้านใหญ่โตแต่มีห้องพระเล็กนิดเดียว

 

ร้านค้าที่ตั้งอยู่ในแนวอาคารเดียวกัน หากร้านค้าใดโดดเด่นขึ้นมา ถือว่า ร้านค้านั้นเป็นหัวมังกรทันที หากร้านค้าใดด้อยสุดจะกลายเป็นหางมังกร ที่มักสะบัดไปมา มีความหมายว่า ร้านค้านั้นจะไม่แน่ไม่นอน
 
ธรรมชาติหรือโชคลาภจะวิ่งเข้าหาสิ่งที่โดดเด่นเสมอ ด้วยเหตุนี้ อาจารย์จึงให้ความสำคัญกับประตูทางเข้า คำว่าประตูนั้น หมายถึงทั้งประตูโครงการ ประตูรั้ว ประตูบ้าน ประตูเข้าห้อง ประตูจึงมีความสำคัญในแง่ของการตอบรับ ลาภ อาชีพ หากเรามักถูกปฏิเสธบ่อยๆ ต้องมีประตูบานใดบานหนึ่งในบ้านที่เปิดยาก เราต้องแปลเชิงสัญลักษณ์เหล่านี้ให้เป็น
 
อย่างไรก็ตาม ที่ควรระวัง คือคำว่า เด่นเกินจนไม่กล้าเข้า แบบนี้เรียกว่า "มังกรหัวขาด" ดังนั้น หากต้องการทำจุดไหนให้เด่น ก็ต้องใช้ปัญญาประกอบเพื่อไม่ให้โดดเด่นเกินไป ด้วยการปรับให้โดดเด่น สง่า อย่างเป็นธรรมชาติ