เกร็ดความรู้จากพุทธศาสนา

 

มหาธัมมปาลชาดก
10 เม.ย. 2559

 

พระศาสดาเมื่อเสด็จพระนครกบิลพัสดุ์ครั้งแรก ประทับอยู่ ณ นิโครธาราม ทรงปรารภความไม่ทรงเชื่อของพระพุทธบิดา ในพระราชนิเวศน์ จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้.

 

ความย่อว่า ครั้งนั้นพระเจ้าสุทโธทนมหาราชถวายข้าวยาคูและของเคี้ยว แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุ ๒๐,๐๐๐ เป็นบริวาร ในพระราชนิเวศน์ของพระองค์ เมื่อทรงกระทำสัมโมทนียกถาในระหว่างภัต ได้ตรัสว่า พระเจ้าข้า เวลาที่พระองค์ทำความเพียรอยู่ มีหมู่เทวดามายืนอยู่ในอากาศบอกแก่หม่อมฉันว่า สิทธัตถกุมารโอรสของพระองค์สิ้นพระชนม์เสียแล้ว เพราะเสวยพระกระยาหารน้อย

 

เมื่อพระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร พระองค์ทรงเชื่อหรือ ?

 

จึงตรัสว่า หม่อมฉันไม่เชื่อดอก พระเจ้าข้า ยังห้ามเทวดาที่ยืนกล่าวอยู่ในอากาศเสียอีกว่า พระโอรสของเรายังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าที่โคนต้นโพธิ์แล้ว จะยังไม่ปรินิพพาน

 

พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร ในบัดนี้ พระองค์จักทรงเชื่อได้อย่างไร แม้ในครั้งก่อน ครั้งหม่อมฉันเกิดเป็นมหาธรรมปาลกุมาร เมื่ออาจารย์ทิศาปาโมกข์เอากระดูกแพะมาแสดงบอกว่า บุตรของท่านตายเสียแล้ว นี่กระดูกบุตรของท่าน พระองค์ก็มิได้ทรงเชื่อ กล่าวกับอาจารย์ว่า ในตระกูลของเรานี่จะตายกำลังหนุ่มนั้นเป็นไม่มี ก็เหตุไร ในบัดนี้ พระองค์จักทรงเชื่อเล่า ?

 

พระพุทธบิดาทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:

 

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี ได้มีบ้านธรรมปาลคามในแคว้นกาสี บ้านนั้นที่ได้ชื่ออย่างนั้น เพราะเป็นที่อยู่ของตระกูลธรรมบาลพราหมณ์ที่อยู่อาศัยในบ้านนั้น ปรากฏชื่อว่าธรรมบาล เพราะเหตุที่รักษาธรรม คือกุศลกรรมบถ ๑๐ ในตระกูลของเขาชั้นทาสและกรรมกรก็ให้ทานรักษาศีล ทำอุโบสถกรรม.

 

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลนั้น ได้นามว่า ธรรมปาลกุมาร ครั้นเจริญวัยแล้ว บิดาได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง ส่งไปเรียนศิลปะ ณ เมืองตักกศิลา ธรรมปาลกุมารไป ณ ที่นั้นแล้ว เรียนศิลปะในสำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ได้เป็นหัวหน้ามาณพพวกอันเตวาสิก (ศิษย์) ๕๐๐ คน

 

ครั้งนั้น บุตรคนโตของอาจารย์ตายลง อาจารย์มีศิษย์มาณพแวดล้อม พร้อมด้วยหมู่ญาติร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ทำฌาปนกิจศพบุตรในป่าช้า ทั้งอาจารย์ทั้งศิษย์และหมู่ญาติต่างร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ณ ที่นั้น ธรรมปาลบุตรคนเดียวเท่านั้น ไม่ร้องไห้ ไม่คร่ำครวญ เมื่อมาณพ ๕๐๐ คนนั้นมาจากป่าช้าแล้ว ได้พากันไปนั่งรำพรรณอยู่ในสำนักอาจารย์ว่า น่าเสียดาย มาณพหนุ่มสมบูรณ์ด้วยมารยาทเห็นปานนี้ พลัดพรากจากมารดาบิดา ตายเสียแต่ยังหนุ่มทีเดียว

 

ธรรมปาลกุมาร กล่าวว่า เพื่อน ท่านทั้งหลายกล่าวว่ายังหนุ่ม ก็เหตุไรเล่าจึงได้ตายกันเสียแต่ยังหนุ่ม เวลาหนุ่มยังไม่ควรตายมิใช่หรือ ?

 

มาณพเหล่านั้นกล่าวกะธรรมปาลกุมารว่า แน่ะเพื่อน ท่านไม่รู้จักความตายของสัตว์เหล่านี้ดอกหรือ ?

 

ธรรมปาลกุมาร    เรารู้ แต่ไม่มีใครตายแต่ยังหนุ่ม ตายกันเมื่อแก่แล้วทั้งนั้น.

 

มาณพทั้งหลาย       สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง มีแล้วกลับไม่มี มิใช่หรือ ?

 

ธรรมปาลกุมาร        จริง สังขารไม่เที่ยง แต่สัตว์ทั้งหลาย ไม่ตายแต่ยังหนุ่ม ตายกันเมื่อแก่แล้ว ถึงซึ่งความไม่เที่ยง.

 

มาณพทั้งหลาย       แน่ะเพื่อนธรรมปาละ ในเรือนของท่านไม่มีใครตายหรือ ?

 

ธรรมปาลกุมาร        ที่ตายแต่ยังหนุ่มไม่มี มีแต่ตายกันเมื่อแก่แล้วทั้งนั้น.

 

มาณพทั้งหลาย       ข้อนี้เป็นประเพณีแห่งตระกูลของท่านหรือ ?

 

ธรรมปาลกุมาร         ถูกแล้ว เป็นประเพณีแห่งตระกูลของเรา.

 

มาณพทั้งหลาย ได้ฟังถ้อยคำของธรรมปาลกุมารดังนั้นแล้ว จึงพากันบอกแก่อาจารย์ อาจารย์เรียกธรรมปาลกุมารมาถามว่า พ่อธรรมปาละ ได้ยินว่า ในตระกูลของท่าน คนไม่ตายกันแต่ยังหนุ่ม จริงหรือ ?

 

ธรรมปาลกุมารตอบว่า จริง ท่านอาจารย์

 

อาจารย์ฟังคำของเขา แล้วคิดว่า กุมารนี้พูดอัศจรรย์เหลือเกิน เราจักไปสำนักบิดาของกุมารนี้แล้วถามดู ถ้าเป็นจริง เราจักบำเพ็ญธรรมเช่นนั้นบ้าง

 

อาจารย์นั้น ครั้นทำฌาปนกิจศพบุตรเสร็จแล้ว ล่วงมาได้ ๗ - ๘ วัน ได้เรียกธรรมปาลกุมารมาสั่งว่า แน่ะพ่อ เราจักจากไป เจ้าจงบอกศิลปะแก่มาณพเหล่านี้ จนกว่าเราจะกลับมา สั่งแล้วก็เก็บกระดูกแพะตัวหนึ่ง มาล้างเอาใส่กระสอบ ให้คนรับใช้ผู้หนึ่ง ถือตามไป ออกจากเมืองตักกศิลาไปโดยลำดับ ถึงบ้านนั้น เที่ยวถามถึงเรือนของมหาธรรมปาละว่า หลังไหน รู้แห่งแล้วก็ไปยืนอยู่ที่ประตู.

 

พวกทาสของพราหมณ์ที่เห็นก่อน ต่างก็รับร่มรับรองเท้าจากมือของอาจารย์ และรับกระสอบจากมือของคนรับใช้ อาจารย์กล่าวว่า พวกท่านจงไปบอกบิดาของกุมารว่า อาจารย์ของธรรมปาลกุมาร บุตรของท่านมายืนอยู่ที่ประตู

 

พวกทาสรับคำว่า ดีแล้ว แล้วก็พากันไปบอก พราหมณ์รีบไปที่ใกล้ประตูเชื้อเชิญว่า มาข้างนี้เถิดท่าน แล้วนำอาจารย์ขึ้นเรือน ให้นั่งบนบัลลังก์ ทำกิจทุกอย่างมีล้างเท้าเป็นต้น อาจารย์บริโภคอาหารแล้ว เวลานั่งสนทนากันอยู่ตามสบาย จึงแสร้งกล่าวว่า ท่านพราหมณ์ ธรรมปาลกุมารบุตรของท่านเป็นคนมีสติปัญญา เรียนจบไตรเพทและศิลปะ ๑๘ ประการแล้ว แต่ได้ตายเสียแล้วด้วยโรคอย่างหนึ่ง สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ท่านอย่าเศร้าโศกไปเลย.พราหมณ์ตบมือหัวเราะดังลั่น

 

เมื่ออาจารย์ถามว่า ท่านพราหมณ์ ท่านหัวเราะอะไร ?

 

ก็ตอบว่า ลูกฉันยังไม่ตาย ที่ตายนั้นจักเป็นคนอื่น

 

อาจารย์กล่าวว่า ท่านพราหมณ์ ท่านได้เห็นกระดูกบุตรของท่านแล้ว จงเชื่อเถิด แล้วนำกระดูกออกกล่าวว่า นี่กระดูกบุตรของท่าน

 

พราหมณ์กล่าวว่า นี่จักเป็นกระดูกแพะหรือกระดูกสุนัข แต่ลูกฉันยังไม่ตาย เพราะในตระกูลของเรา ๗ ชั่วโคตรมาแล้ว ไม่มีใครเคยตายแต่ยังหนุ่มเลย ท่านพูดปด

 

ขณะนั้น คนทั้งหมดได้ตบมือหัวเราะกันยกใหญ่ อาจารย์เห็นความอัศจรรย์นั้น แล้วมีความโสมนัส เมื่อจะถามว่า ท่านพราหมณ์ ในประเพณีตระกูลของท่านที่คนหนุ่มๆ ไม่ตาย ถ้าไม่มีเหตุ คงไม่อาจเป็นไปได้ เพราะเหตุไร คนหนุ่มๆ จึงไม่ตาย ? ดังนี้ ได้ กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:

 

อะไรเป็นวัตรของท่าน อะไรเป็นพรหมจรรย์ของท่าน การที่คนหนุ่มๆในตระกูลของท่านไม่ตายนี้ เป็นผลของกรรมอะไรที่ท่านได้ประพฤติมาเป็นอย่างดีแล้ว ดูกรพราหมณ์ ขอท่านช่วยบอกเนื้อความนี้แก่เรา เหตุไรหนอคนหนุ่มๆ ของท่านจึงไม่ตาย?

 

พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นแล้ว เมื่อจะพรรณนาคุณานุภาพที่เป็นเหตุให้คนหนุ่มในตระกูลนั้นไม่ตาย จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า:

 

พวกเราประพฤติธรรม ไม่กล่าวมุสา งดเว้นกรรมชั่ว งดเว้นกรรมอันไม่ประเสริฐทั้งปวง เพราะเหตุนี้แหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย.

 

พวกเราได้ฟังธรรมของอสัตบุรุษ และสัตบุรุษแล้ว ไม่ชอบใจธรรมของอสัตบุรุษเลย ละทิ้งอสัตบุรุษเสีย แต่ไม่ละทิ้งสัตบุรุษ เพราะเหตุนี้แหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย.

 

ก่อนจะให้ทาน พวกเราก็เป็นผู้ตั้งใจดี แม้กำลังให้ก็ชื่นชมยินดี ครั้นให้แล้วก็ไม่เดือดร้อนในภายหลัง เพราะเหตุนี้แหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย.

 

พวกเราเลี้ยงดูสมณะ พราหมณ์ คนเดินทาง วณิพก ยาจก และคนขัดสนทั้งหลาย ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวน้ำ เพราะเหตุนี้แหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย.

 

พวกเราไม่นอกใจภรรยา ถึงภรรยาก็ไม่นอกใจพวกเรา พวกเราประพฤติพรหมจรรย์นอกจากภรรยาของตน เพราะเหตุนี้แหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย.

 

เราทุกคนงดเว้นจากปาณาติบาต งดเว้นสิ่งที่เขาไม่ให้ในโลก ไม่กล่าวมุสา ไม่ดื่มน้ำเมา เพราะเหตุนี้แหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย.

 

บุตรของพวกเราเกิดในหญิงที่ดีเหล่านั้น เป็นผู้ฉลาดเฉลียว มีปัญญามาก เป็นพหูสูต เรียนจบไตรเพท เพราะเหตุนี้แหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย.

 

มารดาบิดา พี่น้องหญิงชาย บุตรภรรยา และเราทุกคนประพฤติธรรม เพราะเหตุแห่งโลกหน้า เพราะเหตุนี้แหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย.

 

ทาส ทาสี คนอาศัยเลี้ยงชีพ คนใช้ และกรรมกรทั้งหมด ก็ประพฤติธรรมเพราะเหตุแห่งโลกหน้า เพราะเหตุนี้แหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย.

 

ในที่สุด พราหมณ์ก็ได้แสดงคุณของผู้ประพฤติธรรม ด้วยคาถา ๒ คาถาเหล่านี้ ว่า:

 

ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่ทุคติ.

 

ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม เหมือนร่มใหญ่ในฤดูฝนฉะนั้น ธรรมปาละบุตรของเรา อันธรรมคุ้มครองแล้ว กระดูกที่ท่านนำเอามานี้เป็นกระดูกสัตว์อื่น บุตรของเรายังมีความสุข.

 

อาจารย์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า การมาของข้าพเจ้าเป็นการมาดี มีผล ไม่ไร้ผล แล้วมีความยินดี ขอขมาโทษกะบิดาธรรมปาละ แล้วกล่าวว่า นี่เป็นกระดูกแพะ ข้าพเจ้านำมาเพื่อจะลองท่าน บุตรของท่านสบายดี ท่านจงให้ธรรมที่ท่านรักษาแก่ข้าพเจ้าบ้าง ดังนี้แล้ว เขียนข้อความลงในสมุด อยู่ในที่นั้น ๒ - ๓ วันแล้วกลับไปเมืองตักกศิลา ให้ธรรมปาลกุมารศึกษาศิลปะทุกอย่าง แล้วส่งไปด้วยบริวารเป็นอันมาก.

 

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแก่พระเจ้าสุทโธทนมหาราชแล้ว ทรงประกาศสัจธรรมในเวลาจบสัจจะ พระเจ้าสุทโธทนมหาราชได้ดำรงอยู่ในอนาคามิผล พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า มารดาบิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธมารดาพุทธบิดาในบัดนี้ อาจารย์ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระสารีบุตรในบัดนี้ บริษัทในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัทในบัดนี้ ส่วนธรรมปาลกุมาร ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

 

 

จากเวป  http://www.dharma-gateway.com/