บทความพิเศษ

 

พิชัยสงครามกับสามก๊ก ตอนที่ ๕๔ - ห้าทหารเสือ
19 พ.ย. 2561

 

เล่าปี่ยึดเสฉวนได้จากเล่าเจี้ยงแล้วก็ตีทัพโจโฉแตกย่อยยับไปยึดฮั่นต๋งได้จากเตียวล่อ เล่าปี่ก็เริ่มสถาปนาตัวเองเป็นอ๋อง เพราะว่าฮั่นต๋งเป็นเมืองใหญ่ ยึดได้ก็เท่ากับได้เสฉวนทั้งหมด ก็เป็นจังหวะย่างก้าวที่สําคัญทีเดียว เป็นช่วงเดียวกับที่ดาวทั้งหลายชุมนุมอยู่ในราศีเมษ

 

เรามาทําความเข้าใจในราศีมีน เมษ พฤษก โบราณเขาถือว่า ๓ ราศีนี้ เป็นราศีที่เรียกว่า อุตตรกุรุทวีป อุระคืออุดร คือเป็นทวีปฝ่ายเหนือในศาสตร์ของฮินดู โหราศาสตร์ไทยถือว่า ๓ ราศีนี้ เป็นราศีที่แสดงถึงความมีกําลังมีอํานาจ ความร่ํารวย เป็น ๓ ราศีที่ให้ความสมบูรณ์ที่สุด ใครก็ตามที่มีลัคนาอยู่ใน ๓ ราศีนี้ ถือว่าเหมือนกับอุ้มบุญมาเกิด และดาวทุกดวงที่ขึ้นสู่ทั้ง ๓ ราศี จะเป็นดาวที่มีกําลังมากที่สุด เวลาหาฤกษ์หายามในการตั้งเมืองหรือตั้งรากฐานใดๆ เขาก็จะรอให้ดาวที่สําคัญไปชุมนุมกันอยู่ในราศีมีน เมษ พฤษก ให้ดาวส่วนใหญ่ขึ้นข้างบนให้หมด ไม่ให้อยู่ข้างล่าง

 

ถ้าสังเกตดวงเมืองของไทย ลัคนาอยู่ราศีเมษ อาทิตย์กุมลัคน์ ดาว ๘ ๔ ๖ อยู่ราศีมีน  มีดาว ๓ อยู่ราศีพฤษ คือดาวส่วนใหญ่ ๕ ดวงไปอยู่ข้างบน มีดาวเกษตรดาว ๒ อยู่ราศีกรกฏ ผู้หญิงไทยสวย มีดาว ๕ กับ ดาว ๗ คู่รักคู่แค้น คือรัฐบาลกับฝ่ายค้านอยู่ที่ราศีธนู เรือนศุภะของความเจริญรุ่งเรือง คือยิ่งทะเลาะกัน ยิงตีกัน ยิ่งเจริญ ก็ปล่อยทะเลาะตีกันไป มีดาวมาอยู่ราศีข้างล่างมีอยู่ ๓ – ๔ ดวงเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่จะขึ้นไป อยู่ข้างบนหมด

 

อันนี้จะเป็นหลักสากลทั่วไป ถ้าหากประเทศใด เมืองใดก็ตาม มีโหราศาสตร์ของฮินดู  หรือของไทย ในการตั้งดวงเมือง ก็จะรอให้ดาวขึ้นสู่ราศีเมษ มีน พฤษกทั้งหมด

 

ในเวลาที่แยกเป็น ๓ ก๊ก และต่างก็ตั้งเป็นอ๋อง เป็นเวลาที่ใกล้ๆ กันทั้งหมดเลย เป็นเวลาที่ดาวโคจรขึ้นตั้งแต่ราศีกุมภ์ พอขึ้นสู่ราศีมีน เมษ พฤษ จะเป็นช่วงต่างก็ชิงกันเป็นใหญ่ ใน ๓ แคว้นนี้ ไม่ว่าจะ เป็นแคว้นของซุนกวน กันตั๋ง แคว้นของโจโฉ มาถึงแคว้นของเล่าปี่ ก็เป็นช่วงเดียวกับที่เราพูดกันมาทั้งหมด เป็นช่วงที่ดาวจะชุมนุมกันตั้งแต่ราศีกุมภ์ แล้วกําลังเลื่อนเข้าสู่ราศีมีน เมษ พฤษก มาโดยตลอด

 

ในครั้งสุดท้ายที่เล่าปี่สถาปนาจ๊กก๊กขึ้นหลังจากที่ตีฮั่นต๋งได้ เป็นช่วงจังหวะที่ดาวทั้งหมด ๕ ดวง ไปชุมนุมกันอยู่ที่ราศีเมษ อันเป็นราศีที่มีอํานาจที่สุด คือเล่าปี่สถาปนาเป็นอีกก็กขึ้นได้ เพราะอํานาจดาวดันเล่าปี่ขึ้น ช่วงจังหวะนั้น พอดีมีดาวทั้ง ๕ ดวงอยู่ที่ราศีเมษ เล่าปี่เองก็มีห้าทหารเสือเช่นเดียวกัน ชุมนุมอยู่ด้วยกัน ไปอยู่รวมกันที่ เดียวกัน คือสอดคล้องกับดวงดาว

 

ใครก็ตามจะสถาปนาอะไรขึ้นมา ค่อนข้างได้เปรียบในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในคณะของตนเอง รวมหมู่คณะใหม่ก็ดี เปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามในช่วงที่ดาว ๕ ดวงชุมนุมกันอยู่ในราศีเมษ ย่อมมีกําลังค่อนข้างมาก

 

ตอนนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ยังเป็นฮ่องเต้อยู่ เล่าปี่ก็เลยตั้งตัวเป็นอ๋อง ไม่กล้าจะปราบดาภิเษกเป็นฮ่องเต้ ในบางครั้งบางขณะ ยังไม่สามารถที่จะตั้งตัวเป็นใหญ่ได้อย่างแท้จริง เพราะว่ามีเหนือยังมีฟ้า เล่าปี่ตั้งตัวเป็นอ๋อง ไม่เคยปราบดาภิเษกเป็นฮ่องเต้เลย จนกระทั่งโจผีปลดฮ่องเต้ ตอนนั้นเล่าปี่จึงกล้าตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ ตอนนี้ยัง เป็นอ๋องกันหมด แม้กระทั่งโจโฉก็เป็นอ๋องเท่านั้น เหมือนเป็นรัชทายาท

 

แต่ว่าในเรื่องการแต่งตั้งเป็นอ๋อง เล่าปี่ก็ใช่ว่าจะยอมง่ายๆ ในตอนแรก ต้องให้ขงเบ้งกับขุนนางร้องขอต่อเล่าปี่ถึง ๓ ครั้งด้วยกัน เล่าปี่จึงยอม เมื่อเล่าปี่จัดพิธีสถาปนาตัวเองเป็นอ๋องแล้ว ขุนนางทั้งปวงก็อวยชัยให้พรตามธรรมเนียม

 

เล่าปี่ตั้งเล่าเสี้ยนผู้บุตรให้เป็นเจ้า ตำแหน่งรัชทายาท ตั้งขงเบ้งให้เป็นเสนาธิการใหญ่ บัญชาการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน เคาเจ้งกับหวดเจ้ง เป็นที่ปรึกษา ตั้งกวนอู เตียวหุย จูล่ง ม้าเฉียว ฮองตงเป็นทหารเสือ ตั้งอุยเอี๋ยนเป็นทหารเอก ฉายาห้าทหารเสือก็ปรากฏขึ้นตรงนี้เอง ฉายาห้าทหารเสือตอนนี้ เป็นตํานานนิทานชาวบ้านเล่าสืบต่อกันมา ในประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกเรื่องห้าทหารเสือจากที่มีจริงๆ แต่มาจากนิทานชาวบ้าน

 

แล้วเล่าปี่เลื่ยนยศให้๕ ทหารเสือเป็นระดับขุนพล เทียบเท่าขุนพลระดับสามของจีนมียศต่ํากว่ามหาขุนพล ขุนนางระดับหนึ่งสองขั้น ตอนนั้นเล่าปี่เป็นแค่อ๋อง ไม่กล้าแต่งตั้งมหาขุนพล เพราะการตั้งมหาขุนพล ต้องพระมหากษัตริย์เท่านั้น