ความรู้เกี่ยวกับโหราศาสตร์

 

ดาวคู่มิตร ตอนที่ ๑
7 ก.ย. 2560

 

การศึกษาวิชาใดก็ตาม ถ้าหากเราขาดเหตุผลหรือไม่รู้ต้นกำเนิด ไม่รู้ที่มาที่ไป ก็ไม่สามารถที่จะต่อให้วิชานั้นยืนยาวไปได้ เราเรียนรู้กฎของธรรมชาติ เหมือนกับที่เราศึกษาวิชาฮวงจุ้ย จะต้องรู้ที่มาที่ไปในความคิดของคนโบราณ เมื่อเรารู้ที่มาที่ไป ว่าการนำสิ่งของต่างๆ ว่างตรงไหนถึงจะดี พอยุคสมัยเปลี่ยนไป การติดต่อกว้างขวางขึ้น ภูมิอากาศต่างกัน จึงต้องปรับประยุกต์ไปตามกาลเวลา กาลสมัย เพราะถ้าหากว่าไม่มีการปรับ การนำกฎเกณฑ์ของธรรมชาติหนึ่งมาใช้กับอีกธรรมชาติหนึ่ง จะเป็นไปไม่ได้ เช่น เขาบอกว่าฮวงจุ้ยหน้าบ้านหันหน้าไปทางทิศใต้แล้วดี เพราะว่าประเทศจีนลมมาจากทางเหนือ แต่ว่าบ้านเราหันไปทางตะวันออกดี เพราะตอนเช้าแดดจะอ่อน ถ้าหันไปทางทิศตะวันตกแดดจะร้อนมาก เพียงบางกฎเกณฑ์ก็ต่างกันแล้ว

 

เพราะฉะนั้น จึงขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ณ ปัจจุบันมากกว่า แล้วเราต้องรู้ถึงเหตุต่างๆ ที่จดบันทึกมา ว่ามาจากอะไร และคิดแบบคนโบราณ ซึ่งดวงดาวก็เช่นเดียวกัน ทุกอย่างดวงดาวยังบอกอิทธิพลในเรื่องของนิสัยใจคอ อารมณ์อันอ่อนไหว และก็เป็นเหตุในการตัดสินใจ แต่ว่าสภาพแวดล้อมอาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงนิสัยใจคอ และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ ไม่ใช่ว่าดวงดาวจะบังคับให้เราเป็นอย่างนั้นเสมอไป แต่บางอย่าง เหตุการณ์ที่เป็นกรรมจริงๆ จะต้องเกิด และในดวงชะตาระบุเอาไว้ด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเราจะชนะดวงชะตาเสมอไป ผู้ที่เอาชนะดวงชะตาได้ร้อยเปอรฺเซ็นต์ คือพระอรหันต์เท่านั้น

 

เพราะว่าดวงดาวทุกดวง มีอารมณ์ มีนิสัยที่มีอิทธิพลกับตัวเรา ที่เราพูดว่า ดาวดวงนี้มีอิทธิพลกับเราในเรื่องของอุปนิสัยใจคอ อารมณ์ ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมหรือการกระทำ แต่สภาพแวดล้อมยังทำให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงความคิด การตัดสินใจ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เปลี่ยนแปลงผลที่จะเกิดขึ้นได้ ความสุขุมรอบคอบ ทำให้เราตั้งรับบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นโดยกระทันหัน ซึ่งเกิดจากกรรมหรือการกระทำของตัวเราเอง

 

เพราะว่าทุกครั้งที่เราทำอะไรลงไปทุกวัน ผลของการกระทำนั้นจะแสดงผลลัพธ์กลับมาหาเราหมด สิ่งที่เราทำวันนี้มีผลตลอดเวลา อาจจะมีผลเร็ว เราทำความดีกับคนไหน คนนั้นก็รักเรา เราให้ที่อยู่อาศัย เราให้ทาน ผลก็จะมาถึงเราในวันข้างหน้า คือเรามีคนมาช่วยเหลือตลอด อาจจะเป็นคนเดิม หรือว่ากระแสในจิตใจเราที่อ่อนโยนจะดึงให้คนดีๆ เข้ามาช่วยเหลือและอุปถัมภ์ค้ำจุนเรา เหล่านี้คือสิ่งที่ประกอบกัน คือการกระทำนำมาสู่ผลของการกระทำ แต่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของดวงดาวใน ๑๐ ดวง ว่าดวงไหน ทำให้เราหันเหไปทางนั้นมากที่สุด เช่น บางครั้งดาวดวงที่อยู่รอบๆ ลัคนาของเรามีอยู่ทุกดวง แต่ตัวเรามีพฤติกรรมไปทางไหน พอต่อมาเราเปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนอารมณ์ เปลี่ยนความรู้สึก เปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนวิธีคิด และเปลี่ยนการกระทำ ผลจึงเปลี่ยนตามไป เมื่อเรารู้ว่าเราต้องการผลอย่างไร เราจึงกำหนดเหตุได้ แล้วเราสามารถกำหนดพฤติกรรมของเราได้เอง

 

ฉะนั้นการเรียนรู้โหราศาสตร์ คือการเรียนรู้ว่า ดวงดาวทุกดวงที่ล้อมรอบเราอยู่ เราไปอยู่ตรงไหนของดวงดาวดวงนั้น ถ้ามองไม่ออก ลองดูดวงดาวนั้น ถ้าเดินกระทบกับดวงดาวนี้ผลจะเป็นอย่างไร พอนำมาเป็นหลักในการพิจารณาได้ส่วนหนึ่ง

 

กระแสสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวกับบุคคล มีหลักเกณฑ์ให้เรียนรู้มากมาย ที่นิยมใช้กันอยู่ในการวิเคราะห์ดวงชะตา ที่จะนำมากล่าวในที่นี้คือ ดาวคู่มิตร ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการส่งกระแสที่ดีให้กับเจ้าชะตา

 

เรื่องของดาวคู่มิตรในตำราทั่วไป จะบอกเหมือนกันหมดว่า ถ้าใครมีดาวคู่มิตรอยู่ในดวง บุคคลนั้นมักจะราบรื่น ยิ่งมีมากเท่าใด ความราบรื่นก็จะมีมากเท่านั้น คนที่มีดาวคู่มิตรถือว่ามีโชคอย่างหนึ่ง

 

ดาวคู่มิตร มีอยู่ทั้งหมด ๔ คู่ด้วยกัน

 

          อาทิตย์เป็นมิตรกับครู

     จันทร์โฉมตรูพุธนงเยาว์

     ศุกร์ปากหวานอังคารรับเอา

     ราหูเสาร์เป็นมิตรกัน

 

อาทิตย์กับพฤหัส (๑ กับ ๕) หมายความว่า ยศศักดิ์ โดยปกติจะทายอาทิตย์ ส่วนปัญญาบริสุทธิ์เป็นพฤหัส เมื่อดาวสองดวงนี้สัมพันธ์กัน ส่งกระแสถึงกัน จะโยก กุม เล็ง หรือตรีโกณถึงกัน ทำให้มีปัญญาเฉลียวฉลาด เรียนอะไรก็เรียนได้เร็ว รู้จักประมาณตน เป็นคู่แห่งปัญญา และเป็นที่รักใคร่ของผู้ใหญ่ มีโชคมีลาภ มีความสมบูรณ์ ขจัดอุปสรรคต่างๆ ได้

 

คนที่มีดาวคู่มิตรอยู่ในดวงชะตา เสมือนมีวัตถุมงคลอยู่ในบ้าน แทนที่จะมีอยู่ในดวง แต่สำหรับคนที่มีดาวคู่มิตร แต่ตัวเองไม่เคยไปทำอะไรที่จะก่อให้เกิดคู่มิตรกับใครเลย โดยมากจะมีสัญญาณบอกเหตุว่า อาทิตย์ (๑) อาจจะเสีย พฤหัส (๕) อาจจะไม่ค่อยดี เช่น อาจจะมาจากภพอริ มรณะ วินาศ หรือว่าจะมีดาวดวงอื่นเบียดเบียน คือ กึ่งโยคหรือขนาบ ทำให้พฤหัสย่อหย่อนลงไป หรือพฤหัส (๕) เสวยฤกษ์ไม่ดี อาทิตย์ (๑) เสวยฤกษ์ไม่ดี เหล่านี้เป็นสัญญาณบอกเหตุว่า ถึงจะมีดาวคู่มิตรแต่เจ้าตัวไม่ได้นำมาใช้

 

คำว่า “ดาวคู่มิตร” คือ เฉลียวฉลาด เรียนอะไรเรียนเร็ว รู้จักประมาณตน เป็นคู่แห่งปัญญา ปรากฏว่าคนที่มีดาวคู่มิตรไม่เคยใช้ปัญญาเลย เรียนรู้ก็ขี้เกียจ ไม่เคยทบทวนวิชา ไม่เคยสนใจ ไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยใช้อิทธิบาทสี่ในการเรียนรู้อะไรทั้งสิ้น อิทธิบาทสี่ คือ มีความฉันทะก่อน รัก ชอบ ใส่ใจ ตั้งใจ มีความเพียร

 

๑ กับ ๕ เมื่อถูกเบียนด้วยดาวบาปเคราะห์ เพราะดาวบาปเคราะห์เหมือนกิเลส เป็นกิเลสที่ห่อหุ้มดาวที่ดีๆ เอาไว้ ทำให้เราหันไปปฏิบัติทางกิเลสก่อน เพราะว่ากระทำได้ง่ายกว่า สิ่งเหล่านี้เมื่อไม่ประมาณตน ไม่ฉลาด ก็ไม่เป็นที่รักของผู้ใหญ่ ฉะนั้นโชคลาภความอุดมสมบูรณ์จึงไม่ตามมา

 

ในทางโหราศาสตร์ที่แก้ไขด้วยค่ายกลดวงดาว คือตกแต่งให้มีดาวอาทิตย์ (๑) และ พฤหัส (๕) มาอยู่ใกล้ตัว เป็นการเตือนใจให้เราต้องเป็นคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จะทำอะไรก็ให้มีอิทธิบาทสี่ ฉันทะ วิริยะ มีสติปัญญา เพื่อที่จะได้เฉลียวฉลาด จะได้รอบรู้ เพราะมีอยู่ในดวงแล้ว จึงต้องรู้จักประมาณตน อ่อนน้อมถ่อมตน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อยู่ในศีลในธรรม มีจิตใจผ่องใส เราก็จะได้คู่มิตรโดยสมบูรณ์ คือมีทั้งในดวงและในตัวเรา สิ่งที่เราเสริม เช่น อาจจะเป็นดอกไม้สีส้ม สีเหลือง มีดาวพระอาทิตย์ หรือมีรูปของดอกไม้สีเหลืองอยู่ใกล้ๆ ตัว และหิ้งพระ ๑ กับ ๕ ถึงจะเป็นคู่มิตรโดยสมบูรณ์ คือต้องสัมพันธ์กับพฤติกรรมของคนด้วย

 

ถ้าในดวงเราไม่มีดาวคู่มิตร แล้วอยากจะมี แทนที่เราจะเอารูปต่างๆ หรือวัตถุมงคล มาไว้ในบ้านเพื่อเป็นสิริมงคล เราก็หาความเป็นสิริมงคล ให้มาอยู่ในตัวเราโดยไม่ต้องไปอยู่ในดวง หรืออยู่ในบ้าน ให้มีอยู่ในตัวเรา โดยมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้ทาน มีปิยะวาจา มีความโดดเด่นในเรื่องของการช่วยเหลือผู้อื่น คือดาวอาทิตย์ ช่วยเหลือ มีเพื่อนมาก ดาวพฤหัสมีความเที่ยงธรรม มีจิตใจที่ดี รู้จักประมาณตน ศึกษาหาความรู้ มีปัญญา รู้จักกาลเทศะ ให้มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัว

 

ถามว่าหากเรามีสิ่งเหล่านี้อยู่ จะเป็นที่รักใคร่ของคนไหม เราจะมีโชคลาภ ความอุดมสมบูรณ์ เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่กับตัวเรา ทำให้จิตใจเราเยือกเย็น การที่เรารู้จักกาลเทศะเพื่อที่ทำทุกอย่างให้ถูกต้อง เท่ากับว่าเรามีดาวคู่มิตรอยู่ในตัวเราแล้ว เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมขึ้นในจิตใจ คือ พฤติกรรมของตัวเราเอง สร้างนักษัตรขึ้นมาใหม่ สร้างดวงดาวขึ้นมาใหม่ เหมือนกับที่เราบอกว่า “ฟ้า ห้าสิบ คน ห้าสิบ” เราสามารถที่จะปฏิบัติให้เหนือดวงได้ คือสร้างขึ้นมาใหม่