ฮวงจุ้ยพื้นฐาน

 

หลักการปรับทำเล...ที่มองข้าม
15 ก.ค. 2560

 

ทุกวันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจในเรื่องสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาสตร์ที่ว่าด้วยทำเลที่อยู่อาศัย ว่าอยู่อย่างไรถึงจะเจริญ อยู่อย่างไรจะร่ำรวย และอยู่หรืออย่างไรถึงจะมีความสุข ไม่พบเรื่องร้าย

 

การค้นคว้าของชาวจีนโบราณ รวมทั้งการจดบันทึกหลักวิชาต่างๆ สืบมาถึงทุกวันนี้ นับเป็นคุณอันใหญ่หลวง ศาสตร์นี้เรียนรู้ได้ตลอดไม่มีวันจบสิ้น สำคัญที่พื้นฐาน หากว่ามีพื้นฐานในความเข้าใจหลักของธรรมชาติและหลักของกรรม การปรับประยุกต์ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวก็ง่าย

 

อันว่าพื้นฐานที่สำคัญที่ต้องเรียนรู้นั้น เป็นเรื่องของความสมดุลของเบญจธาตุ และการสังเกตสิ่งรอบตัว ก็ต้องนำความสมดุลของธาตุในแต่ละพื้นที่มาวิเคราะห์ก่อน และต้องปรับธาตุที่อยู่ในพื้นที่นั้นให้เกิดความสมดุล

 

พูดง่ายๆ คืออ่านให้ออกว่า ที่นั่นขาดธาตุอะไร

 

ร่างกายคนเรานั้น จะสัมพันธ์กับพื้นที่ที่เราอยู่อาศัย เป็นความเคยชินที่หล่อหลอมให้เรามีวงจรชีวิตที่อาจจะมีทั้งสุขและทุกข์ ซึ่งเป็นเรื่องปรกติ แต่ถ้าเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เป็นประจำ มีขโมยขึ้นบ้านเสมอ ทำอะไรมักติดขัดจนเกินความพอดี ไม่ได้ติดขัดพอหอมปากหอมคอ คือติดขัดแบบผิดปกติ เหล่านี้เป็นเหตุการณ์ที่น่าสะกิดใจ และน่าที่จะย้อนมาดูทำเลที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา ว่ามีอะไรบ้างที่ดูเกินความพอดี

 

เพราะสิ่งที่เกินความพอดีที่เราสังเกตได้ คือความหมายของ สิ่งที่เกินความพอดีในชีวิตของเรา

 

อธิบายอย่างนี้คงพอเข้าใจ อย่างนี้ภาษาฮวงจุ้ยเรียกว่า “ขาดความสมดุล”  นั่นเอง และเรามีหน้าที่ปรับสิ่งที่เกินพอดีนั้น ให้เกิดความพอดี

 

คือปรับให้เกิดความสมดุล ไม่เอียงข้าง ชีวิตของเราก็ไม่เอียงหนักไปข้างใดข้างหนึ่ง

 

ลักษณะบ้านที่อยู่อาศัยในเมือง ปัจจุบันโดยทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นที่นอนมากกว่าเป็นที่อยู่อาศัย คนส่วนใหญ่จึงมองข้าม ผิดกับบ้านที่อยู่อาศัยนอกเมืองใหญ่หรือต่างจังหวัด ที่มีโอกาสอยู่อาศัยในบ้านของตนมากกว่า

 

แต่ในวิชาฮวงจุ้ย เน้นที่อยู่อาศัย เพราะถือว่าเป็น “จุดกำเนิด”  เป็นจุดต้นเหตุ ดังนั้น เมื่อจุดกำเนิดหรือตัวต้นเหตุไม่สมบูรณ์ บิดเบี้ยว ติดขัด ไม่สอดคล้องกับตัวเรา ผลที่ตามมาก็เป็นอย่างนั้น

 

เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดเหตุที่ต้นเหตุไม่ได้มาจากตัวเรา ควรมองที่อยู่อาศัย เป็นอันดับรอง (อันดับแรกคือพิจารณาจากตัวเองไงล่ะ..อย่า..งง)

 

บ้านของเรา คือสิ่งปลูกสร้างที่ปลูกปักลงไปในดิน เป็นการก่อกำเนิด มีการผันแปร เสื่อม และพังทลายลงตามวัฏจักร เราเรียกว่า “มีดวงชะตา”  จริงไหมคะ ดังนั้น บ้านก็จะมีดวงของตัวมันเอง และความเป็นไปของตัวบ้านนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับทิศทางด้วย

 

ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ ก็คือ บ้านที่หันหน้าไปทางตะวันตก จะกระทบกับแสงแดดที่แรงกล้าในยามบ่าย เมื่อผู้สร้างหรือสถาปนิกเล็งเห็นในข้อนี้ ก็จะมีวิธีที่จะบรรเทาไม่ให้แสงแดดนั้นแรงเกินไป นี่เป็นการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม แต่สภาพภายนอกบ้านหลังนี้จะซีดจางเร็ว หรืออาจจะเสื่อมเร็ว ก็คือ บ้านหลังนี้มีความเสื่อมเร็ว เป็นดวงชะตา เป็นชีวิตของบ้านหลังนี้

 

ดังนั้น ผู้อยู่อาศัยเมื่อทราบจุดอ่อนเล็กๆ น้อยๆ จะไม่ปล่อยให้บ้านโทรม ก็จะคอยทาสีใหม่ ปรับปรุงใหม่ นั่นหมายถึง ผู้อยู่อาศัยเป็นคนมีชีวิตชีวา ช่างสังเกต ตื่นตัวอยู่เสมอ และจะเป็นคนที่ไม่อยู่นิ่ง นั่นหมายถึง ความเจริญในหน้าที่การงาน คือความสอดคล้องกันในหลักของตรรกวิทยา

 

ในขณะเดียวกัน บ้านที่ซีดเร็วอย่างนี้ ไปตกอยู่ในมือของผู้อยู่อาศัยที่ไม่กระตือรือร้น ไม่สอดส่อง ไม่สังเกต ไม่สนใจ บ้านซีดเก่า สีกระเทาะหลุด ดูทรุดโทรม เป็นที่ห่อเหี่ยวแก่ผู้พบเห็น

 

มีคำถามว่า ผู้อยู่อาศัยนี้ จะมีความเจริญในหน้าที่การงานหรือไม่ เป็นหลักตรรกวิทยาเหมือนกัน

 

เมื่ออาจารย์ได้ไปตรวจดูที่อยู่อาศัยที่มีลักษณะในทำนองนี้ สำหรับคนแรก ไปปรับให้เพียงนิดหน่อย และดูรายละเอียดในบ้าน เพราะเขาดีอยู่แล้ว คือประสานบุคคล การปรับทำเลก็มีผลสำเร็จ

 

สำหรับรายที่สอง พอให้เขาทาสีใหม่ ด้วยนิสัยดั้งเดิม ชาตินี้ก็ทาสีบ้านครั้งเดียวนั่นแหละ แล้วก็ห่อเหี่ยวเหมือนเดิม จึงมีคำถามว่า รายที่สองนี้จะประสบความสำเร็จเหมือนรายแรกหรือไม่ หรือว่า ต้องคอยตามไปบอกให้ทาสีจัดบ้านทุกเดือน

 

คงเห็นภาพนะคะ และคงเข้าใจแล้วว่า ฟ้าประทาน(คือกรรม) ดินบันดาล(ลักษณะที่อยู่อาศัย) และประสานบุคคล(คือพื้นนิสัย) นั้น สัมพันธ์กันอย่างไร และการปรับฮวงจุ้ยนั้น ไม่อาจประสบผลเหมือนกันทุกคน อันนี้ขึ้นกับ “ประสานบุคคล” เพียงอย่างเดียว

 

คือ เมื่อปรับเป็นผลสำเร็จ เพราะประสานบุคคล เมื่อปรับไม่สำเร็จ เพราะไม่ประสานบุคคล ไม่ใช่อภินิหารของผู้ดู แต่เป็นเพราะหลักวิชาที่จริงแท้แน่นอนของครูบาอาจารย์ ประสานกับ ผู้ที่จะได้รับการปรับทำเลนั่นเอง