โดย อาจารย์ษณอนงค์ คำแสนหวี(อาจารย์แอน)

คนส่วนใหญ่ ถ้ากล่าวถึง “ฮวงจุ้ยร้านค้า”มักจะนึกไปถึงร้านค้าขายสินค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายสินค้าอุปโภค บริโภค ร้านค้าทั่วไปตามท้องถนน หรือในตลาดซอกซอย แต่ไม่ได้คิดไปถึงห้างสรรพสินค้าแต่อย่างใด

ฮวงจุ้ยร้านค้า เปรียบเหมือนการดูทำเลประกอบกิจการค้า อันที่จริง ฮวงจุ้ยร้านค้าเป็นสิ่งไม่ยากและไม่ใข่เรื่องที่น่าสะพึงกลัว เหมือนกับบางคนที่คิดไว้ว่าการจัดฮวงจุ้ยร้านค้าจะต้องรื้อ ทุบ ถอน ทิ้ง ทุกครั้งไป บางคนได้ยินหรือได้ฟังมาว่า ถ้าจะจัดต้องทุบทิ้งเพียงอย่างเดียว  เกิดความไม่อยากที่จะรับรู้อะไรๆ ที่เกี่ยวกับ ฮวงจุ้ย แต่ในความเป็นจริงนั้น ฮวงจุ้ยสามารถที่จะเลี่ยงการรื้อ ทุบ ถอน ทิ้งได้ เป็นการจัดปรับแต่งสภาพแวดล้อมให้สมดุลกลมกลืน ถ้าส่วนนี้แก้ไขไม่ได้ ก็สามารถไปแก้อีกส่วนหนึ่งได้ เป็นสูตรของการแก้ไข

การเรียนมา จะมีหลักเหมือนๆ กัน แต่ต้องเข้าใจในหลักการแก้ไข ไม่มีการเลียนแบบกัน แต่ละท่านจะมีหลักการหรือแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมกว่า ดีกว่า เหมือนกับที่แต่ละท่านจะเข้าใจสภาพแวดล้อมที่อยู่ตรงหน้าได้ดีกว่าคนอื่นก็ได้ ถ้าหากเราได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ตัวอย่างเช่น ลูกศิษย์ที่ได้เข้ามาเรียนวิชาฮวงจุ้ยจะมีมากต่างก็มีแนวความคิดที่แก้ไขแตกต่างกัน และตัวเราก็ไม่ได้เข้าไปมองว่า แก้ผิดหรือถูก แต่ให้มองถึงผลของการแก้ ถ้าผลออกมาดีแสดงว่า เราแก้ไขถูก ถ้าผลออกมาไม่ดีเท่าที่ควร คงจะต้องมององค์ประกอบหลายอย่างประกอบกันก่อนพิจารณา รวมถึงการปรับแต่งแก้ไข การวินิจฉัยของตนเองด้วยว่า ถูกต้องหรือไม่

ถ้าผลออกมาปุปปับ คือ ไม่มีผลอะไร อาจจะแก้ไม่ตรงจุด หรือต้องมองถึงองค์ประกอบของการประสานบุคคลด้วย ในขณะเดียวกัน การปรับแต่งแก้ไขฮวงจุ้ยจะได้ผลดี ก็ไม่ใช่ว่า การแก้ไขนั้นถูกต้องยอดเยี่ยม เก่งเกินไป จะขึ้นอยู่กับตัวบุคคลอีกเหมือนกัน คือ บุคคลพร้อมที่จะแก้ปัญหาให้ตนเอง บุคคลมีประสิทธิภาพ ถ้าเป็นแบบนี้ ฮวงจุ้ยก็จะมีผลดี เพราะจะมีองค์ประกอบของการประสานบุคคลอยู่เสมอ

ไม่ใช่ว่าบางคนบอกว่าไม่ยุติธรรมเลย พอซินแสแก้ไขได้ถือว่าเก่ง แต่พอซินแสแก้ไขไม่ได้ก็โทษว่าตนเองไม่ประสานบุคคล ซินแสไม่เก่ง จะต้องเกิดจากความสำเร็จทั้งสองฝ่าย ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบที่สำคัญของตนเอง ซึ่งข้าพเจ้าสอนลูกศิษย์มาทุกยุคทุกสมัยจะกล่าวเหมือนกันหมดว่า อยู่ที่ตัวของตนเองด้วย

ในหลักวิชาจะมีอยู่ เช่น การตั้งร้านค้าของตนเองขึ้นมา จะเปิดร้านค้าอะไรร้านหนึ่ง ไม่วาจะเป็นร้านเสริมสวย ร้านตัดเสื้อ ร้านขายไอศกรีม ร้านขายอาหาร ผับ หรือกิจกรรมที่เป็นร้านค้า ขายต้อนเช้า สาย บ่าย ค่ำ ยามดึก จะมีหลักเกณฑ์ที่เหมือนๆ กัน

ประการแรกประตูทางเข้าสำคัญที่สุด

จะต้องสังเกตว่า ณ สถานที่ๆเราจะเลือกให้เป็นที่ประกอบการของเรา ประตูทางเข้า เราสามารถที่จะผ่านหรือสร้างใหม่ขึ้นมาได้มากน้อยขนาดใด ถ้าทางเข้านั้นติดถนน ไม่สามารถที่จะจอดรถได้เลย การค้าลักษณะนี้จะต้องเป็นลักษณะของการติดต่อ ในสมัยนี้จะมีลักษณะของโทรศัพท์ หรือระบบขายตรง การใช้คอมพิวเตอร์ทางอินเตอร์เนท ไม่ต้องอาศัยการเปิดเป็นโชว์รูม หรือลักษณะการติดต่อที่เป็นการพบปะ สถานที่มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ร้านค้า โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารที่อยู่ในเมืองตามที่ต่างๆ เราจะต้องเลือกให้เหมาะก่อนว่า ทางเข้าของเรา เหมาะกับการค้าประเภทใด

ลักษณะของตัวอาคาร หรือที่ทำการร้านค้า ทางเข้ามีลักษณะกว้างหรือแคบ ดังคำที่กล่าวว่า “หน้าแคบข้างในกว้าง ยิ่งอยู่ยิ่งเจริญ”หลักนี้ไม่ผิด แต่ถ้าไปทำตรงส่วนที่เป็นร้านค้า จะเห็นว่า หน้ากว้างดีกว่าเหมือนกับปากขวด การจะเทน้ำโดยนำน้ำนั้นมากรอกใส่ตรงปากขวด แต่ปากขวดนั้นมีอยู่นิดเดียว แต่ข้างในกว้าง เราจะต้องกรอกนานเท่าใดขวดจึงจะเต็ม จะต้องคิดแบบนี้ หน้ากว้างดีกว่าแคบ

และเมื่อเข้าไปจะต้องรู้สึกมีความปลอดโปร่งไม่อยากจะใช้คำว่า โอ่โถง เพราะจะหมายความว่า เป็นบริษัทใหญ่ๆ เป็นห้างสรรพสินค้า หรือเป็นพื้นที่ๆมีหลายคูหา แต่ถ้าเป็นเพียงตึกเดียว หน้ากว้างประมาณ 4 เมตร เข้าไปมองแล้วโล่ง โปร่ง ไม่ถึงกับต้องโอ่โถง แต่เป็นเล็ก ๆ

ตึกที่มีลักษณะกว้างหรือโอ่โถง มองแล้วโล่งโปร่ง จะให้ชี่หรือปราณ หรือกระแสบริเวณตรงปากประตูกระจายตัว ถือว่าเป็นผลดีทางธุรกิจทุกชนิด ในขณะที่แคบเป็นการทำให้ ชี่ที่มากระจุกตัวและก่อตัวกันแน่นแออัดแน่นอยู่ข้างหน้า หมือนกับทำให้เกิดความหนาแน่นตรงหน้าประตูและปิดประตูทางเข้า จึงสอดคล้องที่ว่า “อยู่ชิดถนน เหมือนกับไม่มีที่จอดรถ หรือว่าเป็นแอ่งในวงล้อมของปราณ”  ปราณ คือ รถวิ่งผ่านไปผ่านมาไม่มีที่จอด แต่ยกเว้นเป็นลักษณะการค้าที่ใช้การติดต่อ

ประการที่ 2ทางคมนาคมที่จะเข้าสู่ทางร้านของเรา เข้าออกได้ง่ายหรือไม่ อาจจะอยู่ในจุดที่เข้าออกได้หลายทาง ถนนกว้างขวางพอ หรือไม่มีที่จอดรถแต่อาจมีที่จอดบริเวณใกล้เคียงกับทางร้าน หรือ เข้าซอกซอยมีที่จอด เป็นทางคมนาคม เป็นประตู(ถนนหนทาง)สำหรับที่จะเข้าก่อนถึงประตูทางเข้า อาจจะมาทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง ทุกทิศจะอยู่ในจุดที่ดี

ประการที่ 3สำรวจรูปทรง สถานที่ๆ เราจะตั้ง รอบๆ บริเวณมีอะไร เช่น สถานที่เป็นตึกหรือห้องแถวสูงประมาณ 2-3 ชั้น และข้าง ๆ ขวาของเรามีตึกเลาะซ้ายอยู่ จะถูกข่ม ถูกบีบ อีกข้างหนึ่งมองดูสูงอีกเหมือนกัน ถึงจะไม่ใช่เลาะซ้าย ภาษาฮวงจุ้ยเรียก “มังกรถูกข่ม หรือ บีบ”ดังนั้น ไม่ว่าจะทำการใดๆ หากถูกขนาบด้วยตึกสูง เท่ากับถูกข่มด้วยทำเลที่เป็นตึกสูงกว่า ทั้งๆ ที่ตึกอาจอยู่ในจุดที่ดี หน้ากว้าง มีที่จอดรถ และอยู่ในถนนที่มีการคมนาคมที่ดี แต่ลืมมองดูว่าถูกขนาบด้วยตึกที่สูงเกินไป

ตึกใด ๆ ก็ตาม ถ้ามองดูแล้วว่า หน้ากว้างดี มีที่จอดรถ การคมนาคมก็สะดวก แต่มีตึกที่สูงเกินไปอยู่ข้างๆ ก็ไม่ถือว่าเป็นทำเลที่ดี เหมือนกับเราเป็นหญ้าแพรก ให้ดูความสมดุลระหว่างตัวอาคารที่เราจะไปเลือก แต่อาคารรอบๆ บริเวณกลมกลืนกันหรือไม่ ลองเปรียบเทียบว่าไม่ข่มตึกเรา เป็นตึกที่ไม่โดดเด่นเกินไป เช่น ถ้าตึกเราสูงอยู่ตึกเดียว แต่ตึกรอบ ๆ ข้างเตี้ยกว่าเราทั้งหมด เราจะกลายเป็นมังกรหัวขาดไป ไม่ดีอีก

ทุกอย่างถ้าเราเป็นคนที่เดินสายกลาง เราจะสามารถเลือกตึกหรืออาคารที่เป็นสายกลางได้ มองแล้วกลมกลืนเหมือนกับคนอื่น

ประการที่ 4สีของตัวตึกหรืออาคาร บางตึกมองแล้วถูกหลักทุกประการ ความสูงเท่าๆ กันหมด แต่คนอื่น เป็นสีเทา สีขาว แต่ของเราเป็นสีชมพู จะกลายเป็นทำเลฟ้าผ่าไป

ประการที่ 5ความกลมกลืน เช่น ข้างหน้าเหลี่ยมปกติ แต่พอเข้าไปกลายเป็นปลายแหลม เป็นทำเลไม่ดีที่อยู่อาศัยมักเกิดอุบัติเหตุ เกิดอะไรที่ไม่คาดฝันบ่อย ๆ และรูปทรงตึกนี้ จะเป็นรูปทรงของหยิน

เนื้อที่สามเหลี่ยมเหมาะที่จะเป็นศาลเจ้ามากกว่า สิ่งใด ๆ  จะออกหมด เป็นที่ๆไม่รับ เหมือนเทออกหมด

ถ้าเป็นรูปที่ปลายบานออก เท่ากับหน้าแคบ ไมดี เป็นที่แคบมากเกินไป ไม่ไดสัดส่วน แต่ถ้าแคบนิด ๆ ไม่เป็นไร

ลักษณะเลื้อย ถ้าเป็นหน้ากลม แต่ตัวเลื้อย คือ เลื้อย เฉียง เอียงไป และกลับมาตรงข้างหลัง เท่ากับว่าตรงกลางหาย

เราจะต้องคิดเป็นเชิงสัญลักษณ์ว่า จะเอารูปลักษณะมังกร ขวดน้ำ หรือลักษณะอะไรดี แก้ไขให้เป็นไปตามสัญลักษณ์ เพื่อเป็นความหมายมงคล 

โปรดติตตามตอนต่อไป